วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560
เวลา 08.30-12.30 น.


ความรู้ที่ได้รับ
การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

รูปแบบการจัดการศึกษา


•การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
•การศึกษาพิเศษ (Special Education)
•การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
 เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม
กับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกัน
และกัน
เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง 
ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
การศึกษาสำหรับทุกคน
รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล










การวาดรูปดอกบัวตามแบบโดยให้เราเก็บรายละเอียดของภาพให้ได้มากที่สุด  เปรียบเสมือนการสังเกตุเด็ก ที่เราต้องสังเกตุเด็กอย่างละเอียดและมีความครบถ้วนสมบูรณ์

บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย
การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก(จะทำให้เด็กรู้สึกมีปมด้อย)
เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา


การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
เราได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการเรียนรวมและการเรียนร่วม  รู้ถึงบทบาทของครูว่า
มีหน้าที่อย่างไร ทราบถึงความสำคัญของการสังเกตุและการจดบันทึก 

ประเมินผล
ประเมินตนเอง
มาเรียนตรงเวลา มีการจดบันทึก
ประเมินเพื่อน
ตั้งใจเรียนและตั้งใจวาดรูปดอกบัว ไม่พูดคุยเสียงดัง
ประเมินอาจารย์
มีกิจกรรมมาให้ทำ ทำให้การเรียนไม่ตึงเครียด บรรยากาศในการเรียนมีความอบอุ่นและมีความเป็น
กันเอง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น